SocialWritings

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นสื่อมวลชนฝึกหัด

เรื่อง : ปรียาภรณ์ เมฆแสน
ภาพประกอบ : เว็บไซต์ Pexels

ก่อนที่จะยื่นคะแนนแอดมิชชั่นเพื่อเข้ามาเรียนที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรารู้แค่ว่าคณะนี้สอนเกี่ยวกับการทำสื่อบันเทิงที่น่าสนุก อย่างภาพยนตร์ ละคร รายการโทรทัศน์เพียงเท่านั้น ไม่ได้สนใจคำว่า ‘สื่อสารมวลชน’ ที่ห้อยอยู่ตรงท้ายชื่อแต่อย่างใด รู้ตัวอีกทีก็ได้เข้ามาเป็นเด็กปี 1 ที่นั่งเรียนนั่งท่องแบบจำลอง ทฤษฎีการสื่อสาร และบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนเสียแล้ว จริง ๆ เราคิดว่าตัวเองเป็นผู้เรียนที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะจำแบบจำลองการสื่อสารที่เรียนมาทั้งหมดไม่ได้ ทฤษฎีการสื่อสารก็ลืมไปบ้าง ส่วนหน้าที่ของสื่อมวลชน จำได้ขึ้นใจจริง ๆ แค่สองข้อ คือ การเป็นสุนัขเฝ้ายามหรือ Watchdog ที่ต้องคอยสอดส่องดูแลความผิดปกติของสังคมและคอยส่งสัญญาณเตือนภัยให้กับประชาชน กับการเป็น นายทวารข่าวสารหรือ Gatekeeper ที่ต้องคัดกรองข่าวหรือเลือกนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อสังคม ตอนนั้นเรารู้แค่นั้น

พอขึ้นปี 2 – ปี 3 เรารู้แล้วว่าตัวเองกำลังเรียนเพื่อจบไปเป็นสื่อมวลชน การเป็น watchdog และ gatekeeper ถูกพูดถึงซ้ำ ๆ จากอาจารย์ทุกคน นอกจากนั้น ในทุก ๆ วิชา เรื่องจริยธรรมของสื่อมวลชนก็ถูกย้ำควบคู่กันไปด้วย ในวิชาปฏิบัติของสาขาวิชาวารสารศาสตร์ (หรือชื่อเดิมคือสาขาหนังสิ่งพิมพ์ฯ) เราจะต้องหาและเลือกประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมมาเขียนเป็นข่าวหรือบทความ และทุกครั้งต้องพิจารณาว่าเนื้อหาแบบไหนที่ควรเขียน เนื้อหาแบบไหนที่เผยแพร่แล้วเป็นประโยชน์กับผู้อ่านหรือผู้รับสาร และสุดท้ายสิ่งที่ต้องจำให้ได้ขึ้นใจเลยก็คือ การเป็นนักวารสารศาสตร์และนักสื่อสารมวลชนที่ดี ‘ต้อง’ ยึดถือจริยธรรมของสื่อมวลชนตลอดเวลาที่ทำหน้าที่นั้น ๆ ด้วย เช่น รายงานข่าวอย่างถูกต้อง ไม่มีอคติส่วนตัว และรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ ตอนนั้นเรารู้สึกเบื่อกับสิ่งที่ได้เรียน เพราะมันมีแต่เนื้อหาที่วน ๆ ซ้ำ ๆ นักศึกษาทุกคนต้องคิด ต้องตระหนัก ต้องคำนึง ต้องเป็น watchdog และ gatekeeper ที่มีจริยธรรม เรื่อยไป

ไม่ใช่ว่าไม่อยากเป็นสื่อมวลชนที่ดี มีจริยธรรม เพียงแต่ว่าในตอนนั้นเราเรียนจนจำได้ และทำคะแนนในห้องได้ดีพอสมควร ประกอบกับช่วงนั้น (ปลายปี 63 – ต้นปี 64) มีประเด็นหลายอย่างเกิดขึ้นกับวงการสื่อมากมาย เช่น การนำเสนอข่าวผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งจนกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือการเลือกไม่นำเสนอข่าวการชุมนุมจนเกิดกระแสเรียกร้องและประณามในทวิตเตอร์ผ่านแฮชแท็กต่าง ๆ อย่าง #สื่อไทยต้องทำงาน #สื่อมีไว้ทำไม #แบนสื่อช่องหลัก #สื่อไทยขยะสังคม ฯลฯ รวมถึงแถลงการณ์ประณามการทำงานของสื่อมวลชนไทย จากภาคีนิสิตนักศึกษาสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และไม่บิดเบือน เราจึงมีความหยิ่งผยองปนอวดเก่งนิด ๆ ว่าการเป็นสื่อมวลชน ‘ที่ดี’ นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย และเราสามารถทำได้ดีกว่าสื่อมวลชนจริง ๆ บางเจ้าเสียอีก

แต่แล้วความคิดนั้นก็ถูกทำลายลงหลังจากที่ได้ฝึกปฏิบัติเป็นสื่อมวลชนจริง ๆ จากวิชาบังคับของสาขาวารสารศาสตร์ เราได้เรียนรู้ว่าการเป็นสื่อมวลชนที่ดี มีจริยธรรมนั้น เหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ไม่ได้ง่าย และไม่มีวันง่าย ไม่ว่าจะทำหน้าที่นี้มานานแค่ไหน เพราะสำหรับเรา การเป็นสื่อมวลชนต้องกระตือรือร้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในยุคที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบโลกได้อย่างรวดเร็วและจำนวนมาก ประกอบกับสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สื่อมวลชนจะไม่สามารถอยู่นิ่ง ๆ แล้วปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านตาไปได้เฉย ๆ แต่ต้องคอยปรับตัวแล้วเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ ๆ เพราะไม่อย่างนั้นจะผลิตข่าวสารออกไปเพื่อนำเสนอได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วได้ไม่ได้

ภาพจาก Madison Inouye (Pexels)

เมื่อพูดถึงเรื่องความรวดเร็ว เราเคยสงสัยว่าทำไมสื่อมวลชนบางเจ้าถึงนำเสนอข่าวได้ล่าช้า ไม่ทันการ แตกต่างจากทวิตเตอร์ เฟซบุ๊กที่มีการอัปเดตเหตุการณ์ทันทีทันใด แต่พอได้มาลองฝึกปฏิบัติเองจริง ๆ แล้ว ถึงได้รู้ว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่ทำงานกันเป็นทีม และการจะผลิตข่าวหนึ่งข่าว หรือคอนเทนต์ใด ๆ ออกมาหนึ่งชิ้นเพื่อนำเสนอแก่ประชาชนในฐานะของสื่อมวลชนนั้น เราไม่สามารถตัดสินใจได้เองคนเดียว เราจะต้องส่งชิ้นงานไปให้หลาย ๆ คนในทีมพิจารณาและตรวจสอบก่อนว่าเนื้อหาที่ผลิตออกมานั้นมีความถูกต้องทั้งในด้านของที่มา ข้อมูล ภาษา รวมถึงกฎหมายหรือไม่ ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ทำให้คอนเทนต์บางชิ้นไม่สามารถเผยแพร่ได้ทันที

ส่วนขั้นตอนการทำงาน ทุก ๆ องค์กรสื่อจะมีขั้นตอนที่ค่อนข้างคล้ายกัน อาจแตกต่างกันไปบ้างแล้วแต่องค์กร แต่วิชาฝึกปฏิบัติที่เรากำลังเรียนอยู่นี้ สมาชิกในทีมทุกคนจะต้องผลิตชิ้นงานออกมาคนละ 2 ชิ้นในทุก ๆ 10 วัน ไม่ว่าจะเป็นข่าว บทความ สารคดี ฯลฯ เมื่อเสร็จแล้วก็ส่งให้บรรณาธิการ (บก.) ตรวจความถูกต้อง ความเหมาะสมในเบื้องต้นก่อน ถ้าผ่าน บก. แล้วต้องส่งให้อาจารย์ประจำสาขาตรวจอีกครั้งเพื่อดูว่ามีจุดที่ผิดกฎหมายหรือผิดจริยธรรมสื่อหรือไม่ หลังจากนั้นงานชิ้นนั้นของเราจะถูกส่งไปให้พิสูจน์อักษรตรวจความถูกต้องของการใช้ภาษาว่ามีตรงไหนสะกดผิดบ้าง ถ้าผ่าน 3 ขั้นตอนนี้แล้วจึงสามารถเผยแพร่งานชิ้นนั้นได้ สำหรับตำแหน่งต่าง ๆ อย่าง บก. หรือพิสูจน์อักษร จะไม่ได้ตายตัวเหมือนองค์กรที่เป็นสื่อมวลชนจริง ๆ โดยทุกคนในทีมจะต้องเปลี่ยนตำแหน่งกันทุก ๆ 10 วัน ซึ่งแต่ละตำแหน่งมีความยากง่ายไม่เหมือนกัน หลังจากที่ได้ทำตำแหน่งพิสูจน์อักษรแล้ว สิ่งที่ได้เรียนรู้ คือ การตรวจทานคำผิดไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องอ่านเนื้อหาเดิมหลาย ๆ รอบเพื่อไม่ให้คำที่สะกดผิดเล็ดลอดจากสายตาไปได้ และถึงแม้ว่าจะอ่าน จะตรวจจนมั่นใจไปไม่รู้กี่รอบ งานที่เผยแพร่ออกไปบางครั้งก็ยังคงมีจุดที่เขียนไม่ถูกต้องอยู่ ซึ่งนั่นเราถือว่าเป็นข้อบกพร่องที่เจอ และยังต้องปรับปรุงต่อไปอีกเรื่อย ๆ

พอถึงเวลาที่ได้มาเป็น บก. สิ่งที่รู้จากการทำงานด้วยตัวเองนั้นไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่วิทยากรเคยมาบรรยายในห้องเรียนเลย วิทยากรเล่าว่าเป็น บก. จะต้องทำงานหนัก เรารู้สึกแบบนั้นตอนเป็น บก. เช่นกัน แม้ว่าอาจจะไม่หนักเท่ากับการทำงานจริง ๆ ก็ตาม เราต้องคอยตรวจงานของเพื่อน ๆ ในทีมทุกคนก่อนที่จะส่งให้อาจารย์ตรวจอีกรอบ ซึ่งในระหว่างที่ตรวจงานของเพื่อนนั้น ก็ต้องทำงานของตัวเองไปควบคู่กันด้วย แล้วการตรวจงานนั้นใช่ว่าจะสามารถแก้ทุกอย่างที่ไม่ถูกใจได้ เราต้องแก้ตามความถูกต้อง เหมาะสม และยังต้องคงภาษากับสำนวนของเจ้าของผลงานเอาไว้ นอกจากนี้ บางครั้งอาจจะให้คำแนะนำกับเพื่อน ๆ ไปด้วย ซึ่งการแนะนำก็ไม่ได้ง่ายเช่นกัน เพราะต้องมีความรู้เบื้องต้นในเรื่องต่าง ๆ มาก่อน จึงจะสามารถให้คำแนะนำได้ ที่สำคัญคือการเป็น บก. สอนให้เรารู้ว่าต้องกล้าตัดสินใจเวลาเพื่อนมาปรึกษาเกี่ยวกับงานที่จะเผยแพร่ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากเผยแพร่งาน และต้องกล้าที่จะยอมรับผลที่ตามมาด้วย

ภาพจาก Mikael Blomkvist (Pexels)

และที่ขาดไม่ได้เลย คือการเป็น ‘Content Creator’ หรือนักเขียนที่เพื่อน ๆ ในสาขามักจะเรียกกัน ถึงแม้ว่าคนที่เรียนสาขาวารสารศาสตร์จะได้เขียนข่าว เขียนบทความบ่อย ๆ จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นความคุ้นเคยไปแล้ว แต่การเขียนนั้นไม่ได้ง่ายเสมอไป ประกอบกับครั้งนี้เราไม่ได้ผลิตงานชิ้นหนึ่งออกมาเพื่อส่งอาจารย์แล้วได้คะแนนเท่านั้น แต่ต้องเผยแพร่สู่สาธารณะด้วย ดังนั้นจึงต้องคิดมากขึ้นกว่าเดิมว่า นอกจากจะมีประโยชน์ ไม่ขัดกับจริยธรรมสื่อแล้ว เนื้อหาที่อยากเขียนออกมานั้นจะตรงตามที่กลุ่มเป้าหมายชอบหรือไม่ หรือเนื้อหาแบบไหนที่จะไม่ผลิตซ้ำค่านิยมบางอย่างซึ่งอาจนำไปสู่การกดทับหรือสร้างบาดแผลให้กับคนบางกลุ่มในสังคมได้ ที่สำคัญ เนื้อหาเหล่านั้นควรนำเสนอมุมมองของนักศึกษาเองที่มีต่อประเด็นนั้น ๆ ซึ่งนั่นทำให้เราต้องคิดและเขียนออกมาอย่างรอบคอบที่สุด เพราะการเผยแพร่ทุกครั้งเป็นการเผยแพร่บนเว็บไซต์และเฟซบุ๊กที่ไม่มีทางรู้เลยว่า ชิ้นงานที่ผลิตออกมาจะถูกพูดถึง ถูกแชร์ไปไกลมากแค่ไหน

เมื่อ 1 เดือนก่อน เราได้เผยแพร่งานข่าวออกไปหนึ่งชิ้น และงานชิ้นนั้นมีคนกดเข้าไปอ่านในเว็บไซต์ประมาณ 3,000 กว่าคน มีคนแชร์ในเฟซบุ๊กอีกประมาณ 5,000 กว่าครั้ง ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับนักศึกษาอย่างเรา ตอนนั้นรู้สึกดีใจมากที่ข่าวได้ถูกพูดถึงในวงกว้าง แต่การถูกพูดถึงในครั้งนั้นกลับทำให้แหล่งข่าวคนหนึ่งได้รับผลกระทบอย่างที่เพื่อน ๆ ในทีมไม่คาดคิดมาก่อน โดยรายละเอียดนั้นแม้จะไม่สามารถพูดถึงได้ เพราะแหล่งข่าวอาจได้รับผลกระทบมากกว่าเดิม แต่ปัญหาในครั้งนั้นทำให้ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมหลายอย่าง เช่น การพูดถึงแหล่งข่าวอย่างเปิดเผยนั้นสำคัญเพราะสื่อมวลชนไม่สามารถพูดถึงข้อเท็จจริงที่มีลอย ๆ ได้ แต่ในขณะเดียวกันการปกปิดตัวตนของแหล่งข่าวก็สำคัญเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่างานของเราจะทำให้แหล่งข่าวคนไหนได้รับผลกระทบร้ายแรงอะไรบ้าง ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องคิดให้รอบคอบมากถึงมากที่สุด ครั้งนั้นเรารู้ตัวว่าตัวเองทำผิดพลาดไป จึงอยากพยายามให้มากขึ้นเพื่อที่จะไม่ทำพลาดอีกครั้ง

สุดท้ายนี้ เราคิดว่าเพื่อน ๆ ในทีมอาจจะได้เรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับการเป็นสื่อมวลชนในระหว่างการฝึกปฏิบัติครั้งนี้ แม้ว่าบทเรียนที่ได้จะแตกต่างกันไปบ้าง แต่เราเชื่อว่าทุกคนรวมถึงตัวเราเองจะนำบทเรียนนั้นไปปรับประยุกต์ใช้กับการเป็นสื่อมวลชนในอนาคตข้างหน้า และสามารถเติบโตไปเป็นสื่อมวลชนที่ดี มีคุณภาพในแบบที่ตัวเองตั้งใจไว้เพื่อสังคมต่อไป

ความรู้สึกของคุณหลังอ่านบทความนี้เป็นอย่างไร ?

Like ถูกใจ
4
Love รักเลย
1
Haha ตลก
0
Sad เศร้า
0
Angry โกรธ
0

Comments are closed.

More in:Social

Writings

สำรวจความสำคัญ พร้อมตั้งคำถามถึงค่านิยมแบบไท๊ย ไทย ที่ทำให้วัตถุสนองความอยากทางเพศ ถูกปฏิเสธการมีอยู่

เรื่อง: ทยาภา เจียรวาปี ภาพประกอบ: นภัสสร ยอดแก้ว จากการสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยมาสักระยะ ผู้เขียนพบสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมา นั่นคือ ‘การเปิดเผยเรื่องทางเพศอย่างตรงไปตรงมา’ จากเดิมที่แค่พูดแตะๆ เรื่องใต้สะดือก็มีสิทธิ์โดนแบนได้ง่ายๆ ตอนนี้กลับสามารถพูดได้อย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ประสบการณ์เซ็กซ์ การบอกเทคนิคลีลาเด็ดมัดใจคู่นอนในโลกโซเชียล ...

Writings

เพราะธรรมศาสตร์ (แฟร์) สอนให้ฉันรักสัตว์?

เรื่อง : ปิยะพร สาวิสิทธิ์ ภาพประกอบ : ชวิน ชองกูเลีย, วรพร รุ่งวัฒนโสภณ และ สิทธิเดช สายพัทลุง หลายคนคงทราบกันว่าช่วงวันที่ 18 ...

Writings

“ไม่มีใครเก่งเท่าเธอแล้ว” ว่าด้วยนิยามผู้หญิงเก่งในสายตาของแต่ละคน Part 1

เรื่องและภาพ : วรพร รุ่งวัฒนโสภณ, ปิยะพร สาวิสิทธิ์, สิทธิเดช สายพัทลุง และ อารีย์วรรณ อมรเดชเทวินทร์  วลี ‘ไม่มีใครเก่งเท่าแม่มึงแล้ว’ ชวนให้กองบรรณาธิการของเราตั้งคำถามว่า เราสามารถนิยาม ...

Writings

“รถ Feeder” เส้นเลือดฝอยที่สำคัญต่อคนเมืองไม่แพ้เส้นเลือดใหญ่

เรื่องและภาพประกอบ : ชวิน ชองกูเลีย ถ้าหากคุณเคยมากรุงเทพฯ โดยเฉพาะในย่านชุมชนที่พักอาศัย เชื่อว่าคุณอาจเคยเห็นรถสองแถวหรือรถเมล์คันเล็ก วิ่งอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้บ้าง แม้จะดูไม่โดดเด่นเท่ารถเมล์คันใหญ่ที่วิ่งไปมา แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงพบรถเหล่านี้ได้ตามย่านชุมชนเกือบทุกที่เลย มันมีความสำคัญอย่างไรกัน บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับ ‘รถ Feeder’ ระบบขนส่งมวลชนที่อยู่ลึกที่สุด ...

Writings

เมื่อความรักไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของคนสองคน แต่เป็นหลายคนก็ได้

เรื่อง : สายฝัน สวาดดี ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา ในสังคมไทย เราเคยชินกับวัฒนธรรมผัวเดียวเมียเดียว หมายความว่าการมีหลายผัวมากเมียถือเป็นการทำผิดศีลธรรม จนไปถึงผิดกฎหมายเลยทีเดียว แต่ในโลกปัจจุบันที่ความหลากหลายได้รับการยอมรับมากขึ้น จึงอยากแนะนำให้ได้รู้จักกับ Polyamory ...

Writings

“สัตว์ในสงคราม” ว่าด้วยบทบาทผู้ช่วยเหลือของ “สัตว์สงคราม”

เรื่องและภาพประกอบ : วรพร รุ่งวัฒนโสภณ แทบทุกหน้าประวัติศาสตร์อันว่าด้วยสงคราม มักปรากฏภาพมนุษย์ฆ่าฟันกันเอง จึงอาจไม่ผิดนักหากจะนิยามมนุษย์ว่าเป็น “สัตว์สงคราม”  หากแต่เราก็มิใช่สัตว์เพียงเผ่าพันธุ์เดียวในสนามรบ เพราะเราดึงเพื่อนร่วมโลกต่างเผ่าพันธุ์เข้ามาเกี่ยวในสมรภูมินี้ด้วย เมื่อการต่อสู้จบลง มนุษย์ก็สร้าง “วีรชนสงคราม” ขึ้นมา เราเชิดชูและบันทึกพวกเขาไว้บนหน้าบทเรียนประวัติศาสตร์ ...

0 %

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Analytics

    คุ้กกี้ที่เราเก็บไป จะนำไปใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์การอ่านบทความ/ข่าวภายในเว็บไซต์เท่านั้น จะไม่มีการนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด

Save