เรื่อง : ปิยะพร สาวิสิทธิ์
ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา
ช่วงฤดูร้อนในภาคอีสานหลังจากเก็บเกี่ยว เมื่อไม่มีงานหรือผลผลิตทางการเกษตรให้ขายแล้ว ปากท้องที่ยังต้องดำรงอยู่ทำให้คนหนุ่มสาววัยทำงานที่พอมีความสามารถในการใช้แรงงานหลั่งไหลกันเข้ากรุงเทพฯ หรือเขตอุตสาหกรรมใหญ่ๆ อย่างชลบุรี ไม่ก็สมุทรปราการ
สถานการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้พื้นที่ชนบทในภาคอีสานมักมีแค่เด็กและคนชรา กิจกรรมของคนชนบทในช่วงนั้นไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจนัก กลุ่มเด็กๆ ส่วนใหญ่มักจะไปเล่นน้ำตามบึงแถวบ้าน หรือไม่ก็เข้าป่าจับกิ้งก่า (ภาษาอีสานเรียกว่า คล้องกะปอม) เพื่อนำมาขายหรือประกอบอาหาร
ในส่วนของกลุ่มผู้สูงอายุ นอกจากทำงานเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ หรือหาฟืนเพื่อนำมาก่อไฟประกอบอาหารในมื้อเย็นแล้ว คงไม่พ้นการจับกลุ่มนั่งล้อมวงตำหมาก เคี้ยวพลู และ “สร้างสรรค์” บทสนทนาที่น่าสนใจ (ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่มักไม่ใช่เรื่องของตัวเองเท่าไหร่นัก)
ผู้เขียนในเวลานั้นยังคงเป็นแค่นักเรียน ม.ปลาย ที่ถึงแม้จะยังไม่เข้าขั้นเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็โตเกินกว่าจะไปวิ่งเล่นริมบึงหรือจับกิ้งก่าแถวบ้าน จึงตัดสินใจเข้าไปนั่งเป็นส่วนหนึ่งของวงสนทนาในกลุ่มผู้มากประสบการณ์ในชีวิต พร้อมทั้งช่วยผู้เป็นย่าตำหมากเพื่อเพิ่มอรรถรสในการสร้างบทสนทนา
ความน่าสนใจคือวงสนทนานั้นเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม 2562 จึงทำให้หัวข้อเรื่องการเลือกตั้งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และในท้ายที่สุดก็ถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นในการพูดคุย
“ไผให้เงิน กูกะเลือกผู้นั่นล่ะ” (ใครให้เงิน ก็เลือกคนนั้นแหละ)
เสียงแหลมเจื้อยแจ้วอันเป็นเอกลักษณ์ของยายใบ (นามสมมติ) กล่าวขึ้นพร้อมกับจุดยืนอันชัดเจนที่แสดงออกมาผ่านแววตาและน้ำเสียง
“เจ้าเลือกรัฐบาลดีๆ แล้วขายข้าวได้แพงๆ กินยาวๆ สิบ่ดีกว่าได้เงินเที่ยละห้าร้อยติ?” (เลือกรัฐบาลดีๆ แล้วขายข้าวได้แพงๆ กินยาวๆ จะไม่ดีกว่าได้เงินครั้งละห้าร้อยหรือ?)
ผู้เขียน ในเวลานั้นกำลังตื่นเต้นกับข้อมูลหรือแนวคิดใหม่ๆ ที่ได้รับมาจากโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะกระแสประชาธิปไตยและเสรีนิยม จึงพูดประโยคดังกล่าวออกไปอย่างชัดเจน
“ข่อยว่าอยู่ เจ้าสิเลือกคนย้อนว่าไผให้เงินเจ้าส่ำนั้นติ? เงินห้าร้อยใช้คราวเดียวกะเบิดแล้ว มันสิม้มสี่ปีย้อนบ่?” (เห็นด้วย คุณจะเลือกคนจากแค่ว่าใครให้เงินแค่นั้นหรือ เงินห้าร้อยใช้ทีเดียวก็หมดแล้ว มันคงจะใช้ได้พ้นสี่ปีอยู่หรอก)
แม่ของผู้เขียนไม่ปล่อยให้ลูกสาวของเธอยืนบนจุดยืนเรื่องการเมืองเพียงลำพัง ถึงแม้การแสดงความเห็นของแม่จะดูเหน็บแนมและประชดประชัน แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้เขียนก็เห็นด้วยกับแม่เป็นอย่างมาก
วงสนทนา 6-7 คน ตำหมากเคี้ยวพลูต่อไปเรื่อยๆ ต่างคนต่างมีความเห็นเป็นของตัวเอง บ้างก็กล่าวว่าจะเลือกพรรคที่เคยเลือกอยู่แล้ว บ้างก็ว่าจะเลือกเพราะสาธารณูปโภคแถวบ้านอย่างถนน เสาไฟฟ้า หรือสวัสดิการที่ตนและคนในครอบครัวเคยได้รับ บ้างก็บอกว่าจะเลือกพรรคที่เพิ่งก่อตั้งมาใหม่เพราะมีนโยบายน่าสนใจ บ้างก็บอกว่าจะเลือกพรรคที่เคยเป็นรัฐบาลเพราะได้รับบัตรสวัสดิการ หรืออย่างยายใบที่มีจุดยืนชัดเจนว่าจะเลือกคนที่แจกเงิน
—
“จักกูสิได้ไปเลือกนำเขาบ่ดอก สังขารกูกะไปคักแล้ว บักบ้าหัวเข่ากะบ่แล่น ย่างกะสิบ่เคี่ยม” (ฉันก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปเลือกไหม ร่างกายก็พังไปเยอะแล้ว ลูกสะบ้าหัวเข่าก็ไม่ทำงาน เดินก็ยังจะไม่ตรง)
ประโยคนั้นถูกกล่าวขึ้นโดยย่าของผู้เขียนในวัย 89 ปี ที่กล่าวอย่างเชื่องช้าตามเรี่ยวแรงของร่างกายที่นับวันยิ่งร่วงโรยลงตามกาลเวลา กระนั้นย่าก็ยังคงอยากมีส่วนร่วมในบทสนทนานี้ รวมถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ย่าของผู้เขียนนับได้ว่าเป็นหญิงแกร่งแห่งหมู่บ้าน ย่าเล่าให้ฟังว่าย่าทำงานหนักหาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่จำความได้ ด้วยฐานะที่ค่อนข้างยากจนทำให้ไม่ได้เรียนหนังสืออย่างที่ตั้งเป้าไว้
กระนั้น หญิงชนบทคนนี้ก็ยังคงใส่ใจประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลต่อการทำงานหาเลี้ยงครอบครัวของเธอ โดยเฉพาะเรื่องราคาผลผลิตการเกษตร และนโยบายต่างๆ ทางการเมือง
“จักว่ามันแม่นอิหยังดอก จีดีพีน่ะ” (ไม่รู้หรอกว่าจีดีพีมันคืออะไร)
คำพูดเชิงติดตลกของหญิงชรา ที่ถึงแม้จะไม่ทราบว่าตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัวนั้นคืออะไร แต่ยังดีที่หญิงแก่ผู้จบการศึกษาเพียง ป.4 คนนี้ มักจะสังเกตความเป็นอยู่ของเธอและคนในชุมชน ทำให้พอจะเห็นภาพได้ว่าสภาพการเมืองมักจะส่งผลต่อชีวิตและปากท้องของผู้คนด้วย
—
ผู้เขียนอยากชวนอ่านงานวิจัยเรื่อง “ชุมชนแห่งนั้นชื่อปรารถนา: วัฒนธรรมการเมืองในชีวิตประจำวันกับเครือข่ายความสัมพันธ์ในการพัฒนาท้องถิ่น” ที่จัดทำขึ้นในปี 2555 จักรกริช สังขมณี จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำเสนอถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ผ่านชื่อสมมติคือ “ชุมชนปรารถนา” ได้อย่างน่าสนใจ
ชุมชนปรารถนาทำให้เราเห็นว่า ภายในหมู่บ้านเล็กๆ ต่างมีความคิดเห็นที่หลากหลายต่อการเมือง ทุกคนมีความคิดเป็นของตนเอง ทำให้ไม่สามารถถูกครอบงำได้เพียงจากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
เท่านี้ก็คงยืนยันได้ว่าชมรมคนตำหมาก 6-7 คน ต่างก็มีอุดมการณ์เป็นของตนเอง และถึงแม้ยายใบจะกล่าวชัดเจนว่าจะเลือกคนที่ให้เงิน แต่ก็คงจะพอเดาได้ว่าคนอย่างย่า แม่ และตัวผู้เขียนเองจะดำเนินบทสนทนานั้นต่อไปอย่างไรเพื่อเปลี่ยนคติอันแรงกล้าของยายใบ
—
ในช่วงเช้าของวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 นั้นเอง เหล่าคณะกรรมการเลือกตั้งประจำหน่วยเลือกตั้งใกล้บ้านของผู้เขียนคงจะอดหัวเราะและกล่าวอย่างหยอกล้อไม่ได้ กับภาพหญิงชราวัย 89 ปี เดินค้ำไม้เท้าที่ตัดจากกอไผ่หลังบ้าน พร้อมกับลูกสะใภ้ที่คอยพยุงอย่างทุลักทุเลเดินเข้าหน่วยเลือกตั้งเพื่อไปใช้สิทธิ์
คณะกรรมการในหน่วยฯ ต่างหัวเราะลั่นหลังจากได้ทราบว่า ย่าได้กล่าวขอร้อง (กึ่งบังคับ) ลูกสะใภ้ให้พาไปเลือกตั้ง โดยไม่วายใช้รถซาเล้งสนิมเขรอะประจำบ้านบรรทุกร่างกายอันโรยราไปยังหน่วยเลือกตั้ง
ทุกคนที่พบเห็นภาพนั้นคงจะจดจำและยกย่องความพยายามของหญิงชราคนนี้ได้ไปอีกนาน
บรรณานุกรม
จักรกริช สังขมณี. (2555). รายงานวิจัย. ชุมชนแห่งนั้นชื่อปรารถนา: วัฒนธรรมการเมืองในชีวิตประจำวันกับเครือข่ายความสัมพันธ์ในการพัฒนาท้องถิ่น. กรุงเทพมหานคร: แผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.).
ศุทธิกานต์ มีจั่น. (2557). การซื้อเสียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: กรณีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม . วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีที่ 33 ฉบับที่ 4 กรกฎาคม-สิงหาคม, 105-116.