เรื่อง: ชนิสรา หน่ายมี
ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา
คุณเคยถามตัวเองหรือไม่ว่าความฝันของคุณคืออะไร?
ความฝันของใครหลายๆ คนอาจจะเป็นเรื่องการมีเงินทองมากมาย การเรียนหนังสือเก่ง การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ฯลฯ
แต่ความฝันสำหรับฉันตั้งแต่จำความได้คือการที่สามารถเดินได้และดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร
ฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่คลอดก่อนกำหนด ลืมตาดูโลกตั้งแต่อายุครรภ์ 7 เดือน น้ำหนักเพียงแค่ 9 ขีด ร่างกายจึงไม่แข็งแรง ทำให้หยุดหายใจไปช่วงหนึ่ง ส่งผลให้สมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายบางส่วนถูกทำลาย การทำงานของขา มือ เท้า หรือแม้กระทั่งการพูดผิดปกติ
โรคนี้มีชื่อเรียกว่า Cerebral Palsy หรือภาวะสมองพิการ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นกับเด็กได้หนึ่งในล้าน
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก เมื่อถึงช่วงอายุที่เด็กต้องเดินได้ แต่ฉันกลับเดินไม่ได้ พ่อกับแม่จึงพาไปหาหมอ น่าแปลกมากที่ในตอนนั้นหมออธิบายอะไรตั้งมากมาย แต่ฉันเข้าใจเพียงประโยคเดียวคือ “ลูกสาวคุณไม่มีวันหายและไม่มีวันเดินได้”
แม้ฉันจะอายุเพียงแค่ 4 ขวบ แต่เป็นประโยคที่ฉันไม่เคยลืมนับตั้งแต่วันนั้น
หลังจากวันนั้นฉันต้องเข้าโรงพยาบาลทุกอาทิตย์เพื่อฝึกกายภาพโดยตลอด ไม่ว่าใครจะแนะนำให้ไปรักษาที่ไหน พ่อแม่ก็จะพาฉันไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นหมอ พระ แม่ชีหรือแม้กระทั่งหมอสะกดจิต
เกือบทุกวันที่ฉันร้องไห้งอแงในเวลาทำกายภาพ เพราะเจ็บและต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำให้ได้ทุกท่าตามที่นักกายภาพบอกมา ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันต้องทำกายภาพทุกวัน ในขณะที่ญาติพี่น้องเล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่แม่ก็บอกทุกวันว่า “เชื่อแม่สิ ว่าถ้าลูกทำทุกวัน ลูกต้องเดินได้ ลูกไม่อยากเดินได้หรือ ลูกพยายามมากพอหรือยัง” นั่นเป็นคำสอนของแม่ที่พร่ำบอกเสมอ
อยู่มาวันหนึ่งฉันเริ่มเดินได้ด้วยการเกาะกำแพง ตอนฉันล้มลงฉันบอกกับตัวเองว่า “เธอต้องลุกขึ้น แค่นี้เองไม่เป็นไรหรอก” ฉันพยายามเกาะกำแพงลุกขึ้น
จนกระทั่งวันหนึ่งตอนฉันอายุได้ 6 ขวบที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง วันนั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำ พระอาทิตย์กำลังตกดิน แม่ฉันให้ฝึกเดินระยะสั้นไปมาระหว่างพ่อกับแม่ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินด้วยตัวเองได้
ฉันดีใจมากที่สุด เหมือนได้รับของขวัญอันมีค่าที่ฉันใฝ่ฝันมาตลอด
ฉันเริ่มมีกำลังใจในการฝึก ฉันเริ่มเดินได้ในระยะสั้นๆ แต่ก็ยังเดินได้ไม่ดีนัก เพราะเดินเขย่งเท้า หมอบอกว่าหากฉันผ่าตัด ฉันจะเดินเหยียบเต็มส้นเท้าได้ พ่อแม่จึงตัดสินใจให้ฉันผ่าตัดในช่วงปิดเทอม
ในตอนนั้นฉันอายุประมาณ 8 ขวบ ฉันกลัวมาก แต่ฉันก็หวังว่าจะดีขึ้น หลายคนถามว่ากลัวหรือไม่ แต่เพื่อความสบายใจของคนรอบข้าง ฉันจึงตอบไปว่าไม่กลัวหรอก
เมื่อถึงวันที่ฉันต้องเข้ารับการผ่าตัด พยาบาลพาฉันไปเจาะน้ำเกลือ เจาะประมาณ 6-7 ครั้งกว่าจะหาเส้นเลือดเจอ ฉันก็แอบมีน้ำตาไหลเหมือนกัน
หลังจากนั้นฉันถูกพาเข้าไปในห้องผ่าตัด พยาบาลและหมออยู่รอบตัวฉันประมาณ 10 คน ฉันจำได้ว่าถูกดมยาสลบและบล็อกหลัง ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิต ฉันรู้สึกกลัวมากจนใจสั่น เพราะไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ หลังจากนั้นฉันค่อยๆ หลับไป
พอฟื้นขึ้นมาฉันพบว่าตัวเองถูกใส่เฝือกตั้งแต่สะโพกลงไปถึงปลายเท้า หลังจากนั้น 2 วัน คุณหมอก็ให้กลับบ้าน ฉันต้องนอนอยู่บนเตียงตลอด 3 เดือน จะเข้าห้องน้ำยังต้องให้คนที่บ้านช่วยอุ้ม จะกินจะนอนก็อยู่บนเตียงเท่านั้น ตอนนั้นฉันบอกกับตัวเองทุกวัน เดี๋ยวถอดเฝือกฉันจะเดินดีขึ้น
แต่พอหลังจากที่ฉันถอดเฝือก ฉันกลับเดินไม่ได้ เพราะการนอนอยู่บนเตียงนานๆ ไม่ได้ใช้กำลังขา ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่ตอนนั้นฉันคิดว่าฉันเคยเดินได้มาครั้งหนึ่งแล้ว ทำไมฉันจะทำอีกไม่ได้ ฉันจึงพยายามฝึกเดิน
ในช่วงนั้นเวลาฉันไปโรงเรียนต้องมีคอยคนพยุงเดินตลอดเวลา ฉันต้องใช้เวลาฝึกเกือบ 1 ปี จึงกลับมาเดินได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีใครมาพยุง แต่การทรงตัวก็ยังไม่ดีเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม ตามคำแนะนำของแพทย์ ฉันต้องผ่าตัดครั้งที่ 2 เพื่อให้ทักษะการเดินดียิ่งขึ้น เนื่องจากเส้นเอ็นขาตึง ตอนนั้นฉันอายุ 10 ปี หลังการผ่าตัดครั้งที่ 2 ฉันต้องใส่เฝือกตั้งแต่สะโพกลงไปถึงปลายเท้าอีกเช่นเดิม และเนื่องจากฉันต้องนอนอยู่บนเตียงนานเกือบ 3 เดือน ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง จึงต้องฝึกจนตัวเองกลับมาเดินได้ โดยไม่ต้องมีใครมาพยุง ซึ่งใช้เวลาอีกเกือบ 1 ปี แต่การทรงตัวก็ยังไม่ดีเหมือนเดิม
หลังจากการผ่าตัดครั้งที่ 2 หมอก็นัดติดตามอาการทุกๆ 6 เดือน จึงพบว่าเส้นเอ็นร้อยหวายตึง จึงต้องผ่าตัดในครั้งที่ 3
การผ่าตัดครั้งที่ 3 เมื่อฉันอายุ 12 ปี ในตอนแรกฉันต้องใส่เฝือกตั้งแต่สะโพกลงไปถึงปลายเท้าอีกเช่นเดิมเหมือนสองครั้งแรก ตอนนั้นฉันกลัวว่าจะต้องเริ่มต้นฝึกเดินใหม่อีกครั้ง แต่หลังจากผ่าตัดได้สองเดือนหมอก็เปลี่ยนให้ใส่เฝือกแค่ครึ่งเข่าลงไปถึงปลายเท้าทำให้งอเข่าได้ ซึ่งแตกต่างจากสองครั้งแรกตรงที่ฉันต้องใส่เฝือกตั้งแต่ ตั้งแต่สะโพกลงไปถึงปลายเท้า ทำให้ไม่สามารถงอเข่าและเดินไม่ได้
ดังนั้นครั้งนี้ ฉันจึงถามหมอว่า “หมอคะ หนูสามารถฝึกเดินได้โดยที่ยังใส่เฝือกอยู่หรือไม่คะ”
พอหมออนุญาต ฉันจึงฝึกเดินทั้งเฝือกเลย เพราะเมื่อเปิดเทอมแล้วฉันไม่อยากหยุดเรียน ที่โรงเรียนไม่มีลิฟต์ และคนที่ไปส่งก็อุ้มขึ้นบันไดไม่ไหว เนื่องจากห้องเรียนฉันอยู่ชั้น 4
การฝึกเดินขึ้นบันไดแบบใส่เฝือกครั้งแรกด้วยตนเอง ฉันรู้สึกว่ามันลำบากและต้องใช้ความพยายาม รวมถึงใช้เวลานานกว่าปกติ แต่พอฝึกไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ฉันเดินได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ในที่สุดฉันจึงสามารถเดินขึ้นตึก 4 ชั้นได้ แม้จะยากจนน่ากลัว
ฉันพบว่า เมื่อคนเรากล้าที่จะลองทำครั้งหนึ่งแล้ว เราจะกล้าทำมันตลอดไป
หลังจากถอดเฝือกออก ฉันเดินได้โดยไม่ต้องกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แต่ยังต้องทำกายภาพเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองให้สามารถเดินเองและดูแลตัวเองได้จนถึงทุกวันนี้ ถึงจะยังไม่ได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มก็ตาม
เมื่อเวลาผ่านไปจวบจนฉันได้เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยใช้รถเข็นมาก่อนในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นรถเข็นไฟฟ้าหรือรถเข็นธรรมดา เพราะฉันคิดว่าถ้าฉันใช้รถเข็น ฉันจะเดินไม่ได้ แต่เมื่อเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัย ฉันต้องใช้รถเข็นไฟฟ้า เพราะระยะทางในการเดินไปในแต่ละสถานที่ค่อนข้างไกล ไม่งั้นจะไปเข้าเรียนไม่ทัน
เมื่อฉันใช้รถเข็นไฟฟ้า ในช่วงแรกฉันขับชนบ่อยมาก วันหลายๆ ครั้ง บางครั้งชนกำแพง ชนโต๊ะ ชนต้นไม้
มีอยู่วันหนึ่งฉันขับรถเข็นไฟฟ้าไปซื้ออาหารกลางวันที่โรงอาหารกลาง เมื่อซื้อเสร็จฉันต้องขับขึ้นทางลาดเพื่อจะไปยังโต๊ะอาหาร แต่เนื่องจากทางลาดแคบมาก ล้อข้างหนึ่งตกขอบ ทำให้รถคว่ำ
ด้วยความตกใจ ฉันยกจานข้าวไว้ไม่ให้หก แต่ที่ข้อศอกมีบาดแผลเลือดออก ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจเข้ามาช่วยยกฉันขึ้น และพาฉันไปยังโต๊ะเพื่อทานอาหาร ระหว่างนั้นก็มีพนักงานมาทำแผลให้ที่โต๊ะ
ตอนนี้นึกย้อนกลับไปยังนึกขำตัวเองอยู่เลย ที่รถคว่ำทั้งคันแต่ข้าวไม่หกสักเม็ด
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฉันเรียนรู้ว่า ถ้าหากเรามีความฝันและพยายามทำด้วยความตั้งใจ ไม่ว่าใครจะตัดสินเราเช่นไร
ความฝันของเราสามารถเป็นไปได้เสมอ